• realnext@remax.co.th
  • 02-274-5999

อสังหาริมทรัพท์เด่น

คอนโดมิเนียม
เช่า
฿9,000

    นนทบุรี , เมืองนนทบุรี
  1 ห้องนอน
  1 ห้องน้ำ
  35 ตร.ม.
คอนโดมิเนียม
เช่า
฿9,000

    นนทบุรี , เมืองนนทบุรี
  1 ห้องนอน
  1 ห้องน้ำ
  35 ตร.ม.
คอนโดมิเนียม
ขาย
฿27,500,000
อาคารพาณิชย์
ขาย
฿42,000,000

    นนทบุรี , ปากเกร็ด
  0 ห้องนอน
  0 ห้องน้ำ
  1600 ตร.ม.
คอนโดมิเนียม
ขาย
฿14,500,000

บทความ/ข่าว มาใหม่

เทรนด์อสังหาริมทรัพย์ปี 2563 กับความพยายามที่จะรู้เขารู้เรา เพื่อให้รบร้อยครั้งชนะร้อยหน

ช่วงรอยต่อปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มีข้อมูลเด็ด ๆ จาก REIC-ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ วิเคราะห์วิจัยกลุ่มลูกค้าต่างชาติ หลังจากบูมร้อนแรงเป็นอย่างมากในปี 2561 แต่ภาพปีนี้เหมือนฉายหนังคนละม้วน เพราะยอดขายใหม่ลดฮวบฮาบถึง 50%

แต่ยอดโอนกรรมสิทธิ์จริงปี 2562 ถือว่าสอบผ่าน คาดว่าใกล้เคียงกับปี 2561

ล่าสุด “ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์” ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ รักษาการผู้อำนวยการ REIC อัพเดตยอดโอนของลูกค้าต่างชาติ ข้อมูลปีฐานจากกรมที่ดินเริ่มในปี 2561 จนถึง 9 เดือนแรก 2562 หรือเท่ากับมีสถิติ 1 ปี 9 เดือน

“ยอดโอนปี”62 เป็นยอดซื้อตั้งแต่ปี”60 เมื่อห้องชุดสร้างเสร็จ บวกกับลูกค้าต่างชาติถูกเรียกเก็บเงินดาวน์สูง 30% ขึ้นไปอยู่แล้ว บวกกับราคาอาจเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ยอดโอนปีนี้ต้องบอกว่าไม่ขี้เหร่สักเท่าไหร่”


กทม.-ตะวันออก-เหนือแชร์ 90%

การถือครองกรรมสิทธิ์คนต่างด้าว ภาพรวมปี 2561 มีหน่วยโอน 13,113 หน่วย อยู่ในกรุงเทพฯ 51% รองลงมา ภาคตะวันออก 35%, ภาคเหนือ 9% รวม 3 ตลาดนี้เท่ากับ 90% ของทั้งประเทศ

มูลค่าโอน 55,007 ล้านบาท พื้นที่รับโอน 545,518 ตารางเมตร อยู่ในกรุงเทพฯ 37,561 ล้านบาท สัดส่วน 68% ของประเทศ รองลงมาภาคตะวันออก 20% ภาคเหนือ 5%

ถ้าดูเปรียบเทียบ 9 เดือน 2562 โซน กทม.-ปริมณฑล หน่วยโอนลดลงจาก 51% เหลือ 49% อยู่ที่ 9,427 หน่วย มูลค่า 35,987 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปี 2561 หน่วยโอน 9,260 หน่วย เท่ากับมากกว่า 1.8% ต่างกันเล็กน้อย

โดยยอดโอนไปเติบโตในภาคตะวันออก, ภาคใต้มีส่วนหนึ่งที่เติบโตเล็กน้อย ภาคอีสานเห็นการขยับตัวขึ้นมาบ้าง แต่ภาคเหนือมีการลดสัดส่วนลง

“ราคา-พื้นที่ใช้สอย” ลดยกแผง

ดัชนีตัวต่อมาในด้าน “ราคาต่อหน่วย” 9 เดือนแรก 2561 โอนเฉลี่ย 4.13 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปี 2562 มูลค่าโอนต่อหน่วยลดลงเหลือ 3.82 ล้านบาท

“ขนาดพื้นที่” สถิติ 9 เดือนแรก 2561 เฉลี่ยห้องชุดไซซ์ 42.2 ตารางเมตร เทียบกับช่วงเดียวกันปีนี้ค่าเฉลี่ยลดเหลือ 39.4 ตารางเมตร

รวมทั้ง “ราคาต่อตารางเมตร” ซึ่ง 9 เดือนแรก 2561 ภาพรวมเฉลี่ยที่ 1 แสนบาท/ตารางเมตร เท่ากับช่วงเดียวกันของปี 2562

เรียงทำเลดังนี้ กทม.-ปริมณฑลโอนเฉลี่ยตารางเมตรละ 1.3 แสน รองลงมา ภาคใต้เฉลี่ย 9 หมื่น/ตารางเมตร, ภาคกลางเฉลี่ย 8 หมื่น/ตารางเมตร, ภาคตะวันออกเฉลี่ย 7 หมื่น/ตารางเมตร, ภาคอีสานเฉลี่ย 6 หมื่น/ตารางเมตร และภาคเหนือ+อีสานเฉลี่ยที่ 5 หมื่น/ตารางเมตร

“มูลค่าซื้อยูนิตที่ถูกลง พื้นที่ก็น้อยลงด้วย เป็นนัยสำคัญว่าต่างชาติซื้อหน่วยลดลง พื้นที่น้อยลงด้วยค่อนข้างชัดเจน”


“กำลังโอน” จุดเปราะบางลูกค้าจีน

เนื่องจากสถิตินำเสนอมีเพียง 9 เดือนแรก 2562 คำถามคือ แนวโน้มไตรมาส 4/62 จะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นหรือไม่

แนวคำตอบของ “ดร.วิชัย” บอกว่าไม่แตกต่างจากปีที่แล้ว ในแง่ซัพพลายสร้างเสร็จมีส่วนต่างหลักร้อยหน่วย

แต่มีจุดเปราะบางที่ต้องคำนึงในปี 2563 ซึ่งยอดโอนตามปกติควรจะมาจากซัพพลายที่ทยอยสร้างเสร็จ ซึ่งถ้ามีการรับโอนตามปกติ ตลาดก็ไม่น่าจะผันผวนมากนัก

ประเด็นคือกำลังซื้อลูกค้าต่างชาติที่ซื้อคอนโดฯ ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว หรือซื้อในยุคบูมเมื่อปี 2561 ต่างชาติสามารถรับโอนหรือมี “กำลังโอน” ด้วยหรือไม่ เพราะมีปัจจัยกระทบเกิดขึ้นระหว่างทาง ทั้งเงินบาทแข็งค่า เทรดวอร์ที่กระทบการค้าโลกทั้งใบ

โดยเฉพาะลูกค้าจีนที่ซื้อเกินครึ่งหนึ่งของตลาดต่างชาติ ย่อมหมายถึงเป็นกลุ่มที่ต้องรับโอนเกินครึ่งหนึ่งด้วยเช่นกัน

ล่าสุด ปรากฏว่ากำลังซื้อลูกค้าจีนเจอปัญหา 2 เด้ง คือ เงินบาทแข็งค่า บวกเงินหยวนอ่อนค่า ทอนออกมาทำให้การจ่ายเงินเพื่อรับโอนห้องชุดในประเทศไทยเต็มจำนวน ทำให้ราคาแพงขึ้น 20%

“วอลุ่มที่ลูกค้าจีนต้องรับโอนมีขนาดใหญ่มากเพราะเกินครึ่งหนึ่งของตลาดต่างชาติ ยังมองไม่เห็นว่าจะมีสัญชาติใดมาแทนที่ได้ ซึ่งส่วนแบ่งตลาดสูงสุดคือจีน รองลงมาฮ่องกง สิงคโปร์ และมาเลเซียอีกส่วนหนึ่ง”



6 แฟกเตอร์บ่งชี้ทำเลศักยภาพ

โอกาสนี้ REIC นำเสนอทำเลศักยภาพสูงท็อป 5 ตามคำเรียกร้องของ 3 สมาคมวงการธุรกิจพร็อพเพอร์ตี้เมืองไทย เพื่อทำหน้าที่ส่งสัญญาณเตือนแต่เนิ่น ๆ ว่าทำเลไหนผู้ประกอบการควรจะรุกหรือควรจะเลี่ยง

วิธีการประเมินท็อป 5 ทำเลศักยภาพสูงมี 6 ตัวชี้วัด ประกอบด้วย 1.เปอร์เซ็นต์การขายสูงต่อเนื่อง 3 รอบ (รอบละ 6 เดือน) หรือสูงต่อเนื่อง 1 ปีครึ่ง ให้น้ำหนักการคำนวณ 20% 2.มีซัพพลายคงเหลือต่ำ นำมาคำนวณ 20%

3.มีการเปลี่ยนแปลงของอัตราดูดซับ 3 รอบคำนวณในทิศทางเป็นบวกหรือเพิ่มขึ้น ให้น้ำหนัก 30% 4.มองเห็นโพเทนเชียลในการเปิดตัวใหม่ต่อเนื่อง ให้น้ำหนัก 10% 5.ที่ดินรองรับการพัฒนายังรองรับได้จริง หรือมีที่ดินเปล่าในทำเล ให้น้ำหนัก 10% และ 6.ราคาที่ดินสมเหตุสมผล ให้น้ำหนัก 10%

ท็อป 5 บ้านแนวราบ-คอนโดฯ

แบ่งเป็นทำเลท็อป 5 “คอนโดฯ” เขตกรุงเทพฯ อัตราดูดซับสูงสุด 7.2% ต่อเดือนอยู่ที่มีนบุรี-ลาดกระบัง รองลงมา วุฒากาศ-บางหว้า ดูดซับ 7.0%, พระโขนง-แยกบางนา ดูดซับ 5.5%, ห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง ดูดซับ 5.4% และแจ้งวัฒนะ-งามวงศ์วาน ดูดซับ 5.3%

ท็อป 5 คอนโดฯ จังหวัดปริมณฑล เรียงลำดับทำเลเมืองนครปฐม-กำแพงแสน อัตราดูดซับสูงสุด 6.4% ต่อเดือน รองลงมา ศาลายา ดูดซับ 5.0%, เมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด ดูดซับ 3.5%, บางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย ดูดซับ 2.3% และธัญบุรี-คลองหลวง ดูดซับ 1.9%

สำหรับแนวราบทำเล กทม.-ปริมณฑล ท็อป 5 “บ้านเดี่ยว” อัตราดูดซับสูงสุด 4.0% ต่อเดือนอยู่ที่กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ รองลงมา แพรกษา-บางปู ดูดซับ 3.3%, บางขุนเทียน-ท่าข้าม ดูดซับ 3.2%, สายไหม-คลองสามวา-วงแหวน และราชพฤกษ์-พระราม 5 ดูดซับ 3.1% เท่ากัน

ท็อป 5 “ทาวน์เฮาส์” อัตราดูดซับ สูงสุด 5.3% ต่อเดือนอยู่ที่พุทธมณฑลสาย 5-วัดไร่ขิง รองลงมา พัฒนาการ-สวนหลวง-ประเวศ ดูดซับ 4.2%, กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่-เกษตรนวมินทร์ ดูดซับ 3.9%, บางแค-ภาษีเจริญ-หนองแขม ดูดซับ 3.7% และพุทธสาคร-อ้อมน้อย ดูดซับ 3.1% เท่ากัน

มองต่างมุม LTV บีบลดราคา

คำถามสำคัญอีกเรื่องมองจากมาตรการ LTV-loan to value ของธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงก์ชาติ ซึ่งประกาศตั้งแต่ต้นทางว่าออกมาตรการนี้มาเพื่อสกัดเก็งกำไรคอนโดฯ รวมทั้งเพื่อบีบให้ราคาที่อยู่อาศัยลดราคาลงมา จากนั้น หลังใช้มาตรการ 3-6 เดือน ทางแบงก์ชาติระบุว่า LTV ประสบความสำเร็จทำให้ราคาบ้าน-คอนโดฯลดลงมา

คำถามเพื่อความกระจ่างชัดยิ่งขึ้น แนวโน้มบ้าน-คอนโดฯปี 2563 ลดราคาจริงหรือไม่

แนวคำตอบมี 2 ประเด็น 1.ดีเวลอปเปอร์มีการจัดโปรโมชั่น ซึ่งมีผลทางอ้อมเท่ากับลดราคาลงมา

“เรื่องราคาที่อยู่อาศัยมีด้านมาร์เก็ตติ้ง อยู่ ๆ ไปลดราคาก็เสียแบรนด์ จะไปลดราคาไม่ได้ชัดเจน แต่มีเพิ่มของแถม โปรโมชั่น มูลค่าจริง ๆ ที่ขายได้ลดลง เช่น ฟรีค่าส่วนกลาง 1-2-3 ปี ถือเป็นส่วนลดทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น บ้านราคาไม่เพิ่มแน่ ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นมาอาจมีบางส่วนที่ลดราคาไม่ชัดเจน เช่น จัดโปรโมชั่นราคาเพื่อปิดการขาย 10 ยูนิตสุดท้ายของโครงการ”

กล่าวคือ ผู้ประกอบการจัดโปรโมชั่นลดราคาด้วยเหตุผลทางการตลาด แต่ราคาที่ลดลงมายังเป็นราคาแรกหรือราคาตอนเปิดขายโครงการอยู่ดี

2.ประเด็นจากการประเมินกำลังซื้อ ทำให้ดีเวลอปเปอร์หันมาเจาะเซ็กเมนต์ราคาต่ำลง ทำให้ค่าเฉลี่ยราคาบ้าน-คอนโดฯ ของตลาดภาพรวมมีราคาต่ำลง

“กรณีนี้ไม่ได้หมายความว่าบ้านลดราคาเลย แต่ราคาลดในมุมกลับเพราะมาเล่นเซ็กเมนต์ราคาถูกลง ทำให้ค่าเฉลี่ยภาพรวมตลาดลดลง”

 

ลุ้นปี’63 “อสังหาฯฟื้นไข้”

“ดร.วิชัย” ระบุด้วยว่า ถามถึงคำนิยามธุรกิจอสังหาฯปี 2563 คำเดียวสั้น ๆ คือเป็นปีที่เพิ่งจะฟื้นไข้

“ปี 2563 ประเมินว่าโตสัก 5% จากปี’62 จากเดิมหลังมาตรการ LTV ออกมาเต็มที่เคยคาดการณ์ตัวเลขทั้งปีติดลบ 7-10% แต่ยอดโอนยังทำหน้าที่ได้ดีทำให้ติดลบเหลือ 2% ปี”63 จึงคาดว่าจะกลับมาเป็นบวกสัก 5% มองโลกแบบคอนเซอร์เวทีฟ ไม่ได้มองเลิศหรูอะไรมาก มองอย่างเป็นจริงให้มากที่สุด”

คำถามสุดท้าย ปี 2563 สภาพัฒน์ประเมินจีดีพีต่ำกว่า 3% ทำไมธุรกิจอสังหาฯยังเติบโตได้ ?

มุมมองบวกของ REIC เทคะแนนให้กับมาตรการรัฐที่ออกมาทั้งกระตุ้นและพยุงอสังหาฯ ซึ่งเริ่มเห็นในไตรมาสสุดท้าย 2562

“จีดีพีเป็นตัวชี้วัดตัวหนึ่งว่าภาคการใช้จ่ายหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจเติบโตหรือเปล่า ถ้าเรามองภาครัฐที่ต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตอยู่ อสังหาฯ เป็นตัวหนึ่งที่จะทำให้เศรษฐกิจโตได้ แต่ถ้าอสังหาฯไม่โตยิ่งทำให้เศรษฐกิจยิ่งแฟบ เพราะมีผลกระทบต่อเนื่องค่อนข้างเยอะ มีแฟกเตอร์ที่ไปทำให้วงจรธุรกิจต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำไปขยับเขยื้อนทางเศรษฐกิจได้เยอะขึ้น”

ถ้าปี 2563 สามารถเติบโต 5% จริงแปลว่าเริ่มทรงตัว สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือ ระหว่างทางในปีอย่าเอาของผิดสำแดงให้คนที่เพิ่งฟื้นไข้กินมากนัก

ของผิดสำแดงสำหรับธุรกิจอสังหาฯปีหน้า มีได้ทั้งเกณฑ์ DSR (สัดส่วนหนี้สินต่อรายได้) ที่แบงก์ชาติเตรียมนำมาควบคุมการปล่อยสินเชื่อ, มาตรการ LTV ยังเข้มงวดโดยไม่มีการผ่อนปรน รวมทั้งภาคเอกชนลงทุนเกินกำลังซื้อที่มีอยู่จริง

เปรียบเหมือนกับคนเริ่มฟื้นไข้ ถ้ากินของผิดสำแดงจะทำให้ป่วยใหม่ และอาจป่วยหนักกว่าเดิม

 

ท็อป 10 ยอดโอนซื้อห้องชุด “ญี่ปุ่น+เยอรมนี” ราคาต่ำลง 8 แสน-1 ล้าน/หน่วย

เทศกาลจัดอันดับส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2563

REIC-ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดทำรายงาน “อันดับ 10 สัญชาติของคนต่างด้าวที่ถือครองกรรมสิทธิ์ห้องชุดมากที่สุด ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2562”

ปรับพื้นฐานข้อมูลให้เข้าใจตรงกัน สถิติที่นำเสนอมาจากยอดโอนจริงจากกรมที่ดิน แต่ย้อนหลังไม่มากนักเพียงปี 2561 เท่านั้น

พบว่า ปี 2561 ลูกค้าต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมในเมืองไทยรวมกัน 13,113 หน่วย มูลค่าโครงการ 55,007 ล้านบาท คิดเป็นพื้นที่ใช้สอย 545,518 ตารางเมตร



ล่าสุด 9 เดือนแรก 2562 มีการโอน 9,427 หน่วย มูลค่าโอน 35,987 ล้านบาท จำนวน 371,402 ตารางเมตร

ในจำนวนนี้ ท็อป 10 ที่มีการโอนห้องชุดยังรักษาสถานะเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันดับ

ประกอบด้วย อันดับ 1.ลูกค้าจีน โอนเกินครึ่ง 57.6% จำนวน 5,430 หน่วย มูลค่า 55.9% ที่ 20,117 ล้านบาท พื้นที่ใช้สอย 49.5% ที่ 184,003 ตารางเมตร

รองลงมาเป็นลูกค้ารัสเซีย, อังกฤษ (สหราชอาณาจักร), ฝรั่งเศส, สิงคโปร์, สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, เยอรมนี, ออสเตรเลีย ที่เหลือเป็นลูกค้าจากหลายชาติรวมกัน (ดูตารางประกอบ)

โดยท็อป 10 มียอดซื้อปีนี้ (ยูนิตเปิดขายใหม่) แชมป์จีนซื้อสัดส่วน 57.6% เท่ากับยอดโอนเป๊ะ

รองลงมารัสเซีย 6.6%, ฝรั่งเศส 3.4%, อังกฤษ 3.1%, ญี่ปุ่น 2.9%, อเมริกันกับเยอรมันซื้อเท่ากันชาติละ 2.3%, ออสเตรเลีย 1.7%, ไต้หวัน 1.5%, สิงคโปร์ 1.4%

และอื่น ๆ เข้าใจว่าส่วนแบ่งตลาดไม่ถึงชาติละ 1% แต่รวมกันหลาย ๆ ชาติก็เลยมัดเป็นก้อนได้ 17.1%

จุดโฟกัสอยู่ที่เทรนด์การโอนห้องชุดลูกค้าต่างชาติโอน “ห้องชุดไซซ์เล็กลง-ราคาเตี้ยลง” เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่เจอเหมือนกันทั้งโลก

ในแง่จำนวนหน่วย เปรียบเทียบช่วง 9 เดือนแรกปี 2561-2562 มีลูกค้า 3 ชาติที่สถิติยังเป็นบวก ได้แก่ “จีน” บวกเพิ่ม 5.5% จาก 5,145 หน่วย เพิ่มเป็น 5,430 หน่วย

“ญี่ปุ่น” บวกเพิ่มถึง 22.9% เนื่องจากโอนราคาแพงจำนวนหน่วยก็เลยไม่เยอะมากนัก จาก 223 หน่วย เพิ่มเป็น 274 หน่วย และ “เยอรมนี” เพิ่มเยอะเช่นกัน 21.7% จาก 180 หน่วย เพิ่มเป็น 219 หน่วย

ในแง่มูลค่าห้องชุด พบว่า “จีน” นอกจากจะโอนเพิ่มแล้ว ราคาถือว่าใกล้เคียงเดิม จากมูลค่า 19,239 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 3.73 ล้านบาท ปีนี้โอนที่ 20,117 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 3.70 ล้านบาท มูลค่าโอนโตไม่ทันจำนวนหน่วยที่ 4.6%

“ญี่ปุ่น” แม้หน่วยโอนเพิ่มขึ้นเยอะแต่มูลค่าติดลบ -14.4% จาก 1,332 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 5.97 ล้านบาท เหลือ 1,139 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 4.15 ล้านบาท

และ “เยอรมนี” รูปการณ์คล้ายคลึงกับญี่ปุ่นที่มีการโอนเยอะขึ้น ข้อแตกต่าง คือด้านมูลค่าถือว่าใกล้เคียงเดิม แต่ราคาเฉลี่ยต่อหน่วยลดลงมาก จาก 872 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 4.84 ล้านบาท เหลือ 871 ล้านบาท เฉลี่ยหน่วยละ 3.97 ล้านบาท

ทำให้ต้องกลับไปเหลียวดูมูลค่าโอนของอีก 7 ชาติที่เหลือพบว่ามูลค่าลดลงถ้วนหน้า

ได้แก่ “รัสเซีย” จากเฉลี่ยหน่วยละ 2.80 ล้านบาท เหลือเฉลี่ยหน่วยละ 2.91 ล้านบาท

“อังกฤษ” จากเฉลี่ยหน่วยละ 4.51 ล้านบาท เหลือเฉลี่ยหน่วยละ 4.04 ล้านบาท

“ฝรั่งเศส” จากเฉลี่ยหน่วยละ 4.52 ล้านบาท เหลือเฉลี่ยหน่วยละ 3.91 ล้านบาท

“สิงคโปร์” จากเฉลี่ยหน่วยละ 5.36 ล้านบาท เหลือเฉลี่ยหน่วยละ 5.61 ล้านบาท

“สหรัฐอเมริกา” จากเฉลี่ยหน่วยละ 4.55 ล้านบาท เหลือเฉลี่ยหน่วยละ 4.22 ล้านบาท

“ไต้หวัน” จากเฉลี่ยหน่วยละ 4.37 ล้านบาท เหลือเฉลี่ยหน่วยละ 4.44 ล้านบาท

“ออสเตรเลีย” จากเฉลี่ยหน่วยละ 4.43 ล้านบาท เหลือเฉลี่ยหน่วยละ 4.44 ล้านบาท

สรุป “ญี่ปุ่น-เยอรมนี” โอนเฉลี่ยราคาต่ำลงตั้งแต่ 8 แสน-1 ล้าน/หน่วย

มีเพียง “รัสเซีย-ออสเตรเลีย” ที่มูลค่าโอนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1 หมื่น-1 แสน/หน่วย

 

“ใต้-อีสาน” เกลี่ยได้หลายจังหวัด

ดาต้าเบสชุดใหญ่ไฟกะพริบของ “REIC-ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์” ว่าด้วยยอดโอนกรรมสิทธิ์ลูกค้าต่างชาติ


โฟกัสในด้านทำเล ทาง REIC มีการแบ่งทำเลหลักอันดับ 1 แน่นอนว่าเขต กทม.-ปริมณฑล

ที่เหลือมีอีก 5 ภูมิภาค ประกอบด้วย ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก

ถ้าเราเริ่มต้นกันที่ภาคกลาง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีเนื้อมีหนัง หมายถึงมีมูลค่าโครงการมากพอที่จะลงพื้นที่สำรวจ มีเพียง 2 จังหวัด คือ “พระนครศรีอยุธยา-สระบุรี”

อย่างไรก็ตาม มูลค่าการโอนคอนโดมิเนียมยังถือว่าน้อยถึงน้อยมาก โดยฐานข้อมูลปี 2561 ไม่มีการโอนแม้แต่ยูนิตเดียว ในขณะที่ 9 เดือนแรกปี 2562 สระบุรีมีเพียง 1 หน่วย พระนครศรีอยุธยามี 4 หน่วย ในเชิงสถิติแทบไม่มีนัยสำคัญแต่อย่างใด

ถัดมา ภาคเหนือ แม้จะมีธุรกิจที่อยู่อาศัยเริ่มหนาตาขึ้น 6 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน ตาก เพชรบูรณ์ (สังเกตว่าไม่มีจังหวัดพิษณุโลก นครสวรรค์ อาจเป็นเพราะข้อมูลเริ่มนับจากการโอนกับกรมที่ดิน ณ ปี 2561 ซึ่งไม่มีหน่วยโอนใหม่เกิดขึ้น)

แต่จังหวัดหลักอย่าง “เชียงใหม่” เป็นทำเลยอดนิยมของลูกค้าต่างชาติ มีสัดส่วนโอน 97-98% โดย 9 เดือนแรก 2561 โอน 732 หน่วย เทียบกับช่วงเดียวกันปีนี้ โอนแล้ว 607 หน่วย

เป็นภาพเช่นเดียวกับภาคตะวันออกมีการสำรวจ 5 จังหวัด คือ ชลบุรี ระยอง ปราจีนบุรี จันทบุรี ฉะเชิงเทรา

พบว่า จังหวัดหลักอย่าง “ชลบุรี” เป็นทำเลยอดนิยมของลูกค้าต่างชาติ มีสัดส่วนโอน 99% โดย 9 เดือนแรก 2561 โอน 3,562 หน่วย เทียบกับช่วงเดียวกันปีนี้โอนแล้ว 3,459 หน่วย

ในขณะที่ภาคตะวันตก ซึ่งหมายถึง 2 จังหวัด คือ ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี แต่จุดโฟกัสให้ชัด ๆ ก็คือ ตลาดคอนโดฯในทำเล “หัวหิน-ชะอำ”

ไม่น่าแปลกใจ หากพบว่ายอดโอนคอนโดฯในหัวหิน น้อยกว่าโซนชะอำ เพราะพื้นที่หัวหินเริ่มเต็มมาหลายปีแล้ว ทำเลการพัฒนาจึงขยับถอยร่นเข้าจังหวัดเพชรบุรีมากขึ้น โดยหัวหินมีการโอน 64 หน่วย เพิ่มเป็น 78 หน่วย กับชะอำที่มีการโอน 13 หน่วย เพิ่มเป็น 127 หน่วย

ขณะที่มี 2 ภูมิภาค “ใต้กับอีสาน” ที่พบว่ามีการเกลี่ยกำลังซื้อและการโอนของลูกค้าต่างชาติในหลายจังหวัด

โดยภาคใต้ 4 จังหวัดหลัก คือ “ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี กระบี่ นครศรีธรรมราช สงขลา” นั้น แน่นอนว่าเมืองไข่มุกอันดามันอย่างภูเก็ต มียอดโอน 91-92%


อ่านเพิ่มเติม...

ภาคเศรษฐกิจ ภาคการเงิน ส่งสัญญาณ ขอรัฐเร่งกระตุ้นความเชื่อมั่นผู้บริโภคทุกมิติ หลังหลายปัจจัยภายในภายนอกฉุดการท่องเที่ยว การส่งออกอ่อนแอ มองภาคอสังหาฯ ไทย วงล้อธุรกิจใหญ่ยังแข็งแกร่ง แต่มีอุปสรรคไม่น้อย ยิ่งกระตุ้นยิ่งฟื้นเศรษฐกิจโดยรวมได้ผลพวงเศรษฐกิจถดถอยจากหลากหลายปัจจัยลบ ส่งผลให้ภาครัฐ และเอกชน ต่างส่งสัญญาณถึงรัฐบาล ให้ออกมาตรการกระตุ้นความเชื่อมั่น ให้พลิกฟื้นกลับคืนมา

นายปริญญา พัฒนภักดี ประธานกรรมการธนาคารอาคาร สงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวถึงนโยบายการขับเคลื่อนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อธุรกิจ ภายในงานสัมมนาใหญ่ “อสังหาริมทรัพย์ ดัชนีหลักชี้เศรษฐกิจปี 2020” ซึ่งจัดโดย สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ว่า ขณะนี้ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาหลายด้าน ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งยังกลายเป็นแรงกดดันความเชื่อมั่นในหลายธุรกิจ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว และภาคการส่งออก ซึ่งถือเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทย ถูกปัจจัยภายนอก ทั้งประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน, ภาวะเศรษฐกิจโลกอ่อนแอ และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 (โคโรนา)

อย่างไรก็ตาม ในมิติของปัญหาที่เกิดขึ้น ประเทศไทยยังมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งคอยคํ้าจุน เพราะมีภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่มีความแข็งแรง เติบโต และเป็นอีกหนึ่งเสาหลัก ผลักดันให้เศรษฐกิจไทยพยุงตัวเองได้ เนื่องจากมีรอบหมุนเวียนตั้งแต่ต้นนํ้าถึงปลายนํ้า มูลค่าต่อปีมากถึง 4 ล้านล้านบาท โดยนับเป็นส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ (จีดีพี)ประมาณ 8-10% เพราะผูกพันตั้งแต่การจ้างงาน การสร้างรายได้ให้กับประชาชน และเชื่อมโยงต่อภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น ภาคการก่อสร้าง, วัสดุ-อุปกรณ์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, เฟอร์นิเจอร์, การตกแต่ง, สถาบันการเงิน, ผู้ซื้อและผู้พัฒนา


ทั้งนี้ในแง่ของรัฐได้มองเห็นความสำคัญของภาคอสังหาฯมาตลอด ผ่านทั้งการออกนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังมารองรับสนับสนุน กระตุ้นในฝั่งดีมานด์ พร้อมๆกับการเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ มูลค่าเกือบ 4 แสนล้านบาท เพื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชน ฟื้นกำลังซื้อภายในประเทศ ฉะนั้นนับเป็นภาวะที่ท้าทายยิ่ง ที่จะผลักดันให้ภาคอสังหาฯ นำพาประเทศไทยผ่านวิกฤติ

“วันนี้เรือธงภาคการท่องเที่ยวเสียหายจากไวรัส เหลือเพียงภาคอสังหาฯ ที่ยังเดินหน้าสร้างมูลค่า 4 ล้านล้านบาท ที่จะเป็นตัวช่วยสำคัญดูแลเศรษฐกิจของประเทศต่อ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ขาด ณ ขณะนี้ คือ ความเชื่อมั่นของผู้ซื้อ ฉะนั้นทุกองคาพยพ ตั้งแต่ ผู้ซื้อ ผู้พัฒนา สถาบันการเงิน และรัฐ ต้องเร่งสร้าง เพราะถ้าล้อนี้ไม่หมุน ก็เสียหายทั้งระบบ”ด้าน นายธนวรรธน์ พลวิชัย ฐานะอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ให้ความเห็นสอดคล้องกันว่า ขณะนี้ภาคอสังหาฯ กลายเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย และจากการศึกษาตลาด พบว่ายังไม่มีข้อกังวลใดๆในภาคอสังหา ริมทรัพย์ เช่น ภาวะฟองสบู่ ที่เคยกังวลกันก่อนหน้านี้ ส่วนปัจจัยภายนอกต่างๆ ไม่ได้ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคแย่ไปกว่าเก่า แต่ความกังวลที่เกิดขึ้นขณะนี้ เป็นเพียงบรรยากาศการจับ-จ่ายที่ไม่เอื้อ จากภาวะเศรษฐกิจซึม เพราะพบว่าคนไทยบางกลุ่มยังมีกำลังซื้อสูง จากกรณีรถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง ปรับลดราคา 50% เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถปิดการขายได้ เปรียบสถานการณ์เป็นอยู่ขณะนี้คล้าย “คนมีเงิน แต่ไม่พร้อมใช้” ฉะนั้น กลไกการทำให้ภาคอสังหาฯขับเคลื่อนได้ คือ การลดอัตราดอกเบี้ย และการเข้าถึงสินเชื่อที่ง่ายในกลุ่มคนซื้อบ้าน ต้องเกิดขึ้นพร้อมกัน หลังจากปัจจุบัน ยังมีความย้อนแย้งจากมาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (แอลทีวี) ทำให้ผู้ซื้อไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ อย่างไรก็ตาม สถาน การณ์โอเวอร์ซัพพลายในตลาด คาดจะต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 18 เดือน ถึงจะระบายหมด ภายใต้สมมติฐาน ปริมาณดีมานด์เกิดขึ้นคงที่ต่อเนื่อง

“วันนี้คนซื้อขาดความเชื่อมั่น จากข่าวฟองสบู่แตก แต่ขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณ เป็นเพียงสถานการณ์ลังเลการตัดสินใจจากคนมีเงิน แต่ไม่มีอารมณ์ซื้อ เมื่อไหร่ที่ไวรัสคลี่คลาย ระบบอสังหาฯพร้อมจะวิ่ง และ อิฐ หิน ปูน จะมีการซื้อ-ขายดีขึ้น เพราะไม่มีโอกาสที่ดอกเบี้ยจะถูกขนาดนี้แล้ว”ขณะที่ นายสมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มีแนวโน้มรัฐบาลจะออกนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังมากระตุ้นเพิ่มเติมอีก คาดอาจมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นความต้องการในกลุ่มผู้ซื้อได้ ขณะเดียวกันอาจมีการผ่อนคลาย เปิดช่องการเข้าถึงสินเชื่อให้มากขึ้น

อ่านเพิ่มเติม...

สรุปมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ของแต่ละสถาบันการเงินที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เช่น ภัยแล้ง และการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19)

ธ.กรุงเทพ
ลูกหนี้ธุรกิจ

สินเชื่อเดิมที่มีกับธนาคาร พักชำระเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 12 เดือน
ให้สินเชื่อเพิ่ม
ลูกหนี้ SMEs ให้สินเชื่อประเภท PN ระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน และสามารถต่ออายุได้โดยมีระยะเวลารวมกันทั้งสิ้นไม่เกิน 1 ปี วงเงินให้ความช่วยเหลือสูงสุด 20 ล้านบาท
สำหรับลูกหนี้รายใหญ่พิจารณาสินเชื่อเพิ่มตามความเหมาะสมเป็นรายกรณี
ลูกหนี้รายย่อย (สินเชื่อบัตรเครดิต)

ผ่อนผันลดอัตราดอกเบี้ยลงจากอัตราปกติร้อยละ 50
ผ่อนผันลดจำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องชำระเหลือไม่เกินร้อยละ 10
ผ่อนผันยกเว้นดอกเบี้ยจากหนี้ที่ค้างชำระ
สินเชื่อรายย่อยอื่นๆ (สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย, สินเชื่อบุคคล)

พิจารณาผ่อนปรนการชำระหนี้เป็นรายกรณี
เบอร์ติดต่อสอบถาม 1333

​ธ.กสิกรไทย
ลูกค้าธุรกิจ
สินเชื่อเพื่อธุรกิจ (ประเภทเงินกู้) : ผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 12 เดือน
วงเงินหมุนเวียน (ประเภทตั๋ว) : ขยายตั๋วครั้งละไม่เกิน 3 เดือน  
สินเชื่อเช่าซื้อเครื่องจักร : ผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 12 เดือน
ลูกค้ารายย่อย
สินเชื่อบ้านกสิกรไทย และ สินเชื่อที่อยู่อาศัยอื่นที่มีหลักประกัน : ผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 12 เดือน
สินเชื่อบัตรเครดิต และ สินเชื่อส่วนบุคคล : ผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ยถึงรอบบัญชีเดือนธันวาคม 2563
สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ : ปรับลดยอดผ่อนชำระรายเดือนสูงสุด 50% ระยะเวลาสูงสุด 12 เดือน และขยายระยะเวลาการผ่อนสูงสุด 6 เดือน โดยรวมสัญญาล่าสุดต้องไม่เกิน 7 ปี
เบอร์ติดต่อ K-Contact Center 0 2888 8888


​ธ.ไทยพาณิชย์
ลูกค้าธุรกิจ

ธนาคารไทยพาณิชย์ออกมาตรการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจให้กับลูกค้าธุรกิจด้วยการพักชำระหนี้เงินต้น สูงสุด 12 เดือน 
ลูกค้าบุคคลและผู้ประกอบการรายย่อย

ธนาคารไทยพาณิชย์ออกมาตรการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจให้กับลูกค้าบุคคลและผู้ประกอบการรายย่อยด้วยการพักชำระหนี้เงินต้น สูงสุด 6 เดือน
หมายเหตุ เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

โดยลูกค้าที่ประสงค์จะพักชำระหนี้สามารถติดต่อ
• ผู้จัดการธุรกิจสัมพันธ์
• สาขาทั่วประเทศ
• Call Center 0 2777 7777

​ธ.กรุงไทย
ลูกหนี้ธุรกิจ
พักชำระหนี้เงินต้นตามระดับผลกระทบ ทั้งนี้ไม่เกิน 12 เดือน
ขยายระยะเวลาชำระหนี้ให้สอดคล้องกับธุรกิจ 
สำหรับลูกค้ารายที่ใช้ บสย. ค้ำประกันสินเชื่อเดิม สามารถขยายระยะเวลาค้ำประกันออกไปได้อีก 5 ปี โดยลูกค้าไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆ และเป็นไปตามเกณฑ์ของ บสย. 

เบอร์ติดต่อสอบถาม
Krungthai Call Center
0 2111 1111


​ธ.กรุงศรีอยุธยา
​หากลูกค้าท่านใดที่ได้รับผลกระทบและประสงค์จะเข้าร่วมโครงการสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ธุรกิจสัมพันธ์ที่ดูแลท่านเพื่อขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติม และเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


ธ.ยูโอบี
ลูกหนี้ธุรกิจ
พักชำระหนี้เงินต้น (Grace Period) สูงสุด 12 เดือน 
ลูกหนี้รายย่อย
ปรับลดอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำของสินเชื่อบัตรเครดิต
เบอร์ติดต่อสอบถาม
​0 2285 1555


ธ.ทิสโก้
 ลูกหนี้ธุรกิจ / ลูกหนี้รายย่อย เช่น
ผ่อนปรนการชำระเงินต้นชั่วคราว
ลดภาระการผ่อนชำระ
ขยายระยะเวลาการชำระหนี้
ยกเว้นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องบางส่วน
เบอร์ติดต่อสอบถาม
0 2080 6000
หรือ 0 2633 6000


​ธ.ธนชาต
​ลูกหนี้รายย่อย 

สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ธนชาต DRIVE : พักชำระหนี้สูงสุดไม่เกิน 60 วัน และขยายระยะเวลาผ่อนชำระไม่เกิน 96 งวด เมื่อครบกำหนดพักชำระหนี้
สินเชื่อเล่มแลกเงิน : พักชำระหนี้สูงสุดไม่เกิน 60 วัน
สินเชื่อบ้านธนชาต : พักชำระหนี้สูงสุดไม่เกิน 3 เดือน
สินเชื่อบุคคลธนชาต : พักชำระหนี้สูงสุดไม่เกิน 3 เดือน
บัตรเครดิตธนชาต : ลดยอดชำระขั้นต่ำเหลือ 5% หรือ 500 บาท สูงสุดไม่เกิน 3 เดือน
บัตรกดเงินสด Flash Plus ลดยอดชำระขั้นต่ำเหลือ 1% หรือ 100 บาท สูงสุดไม่เกิน 3 เดือน
ลูกค้าธุรกิจ

สินเชื่อ SMEs รายย่อย
- Term loan : พักชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 6 เดือน
- O/D ลดอัตราดอกเบี้ยลง 1.50% จากสัญญาเดิม ระยะเวลา 3 เดือน
สินเชื่อลูกค้ารายใหญ่
- Term loan : พักชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 6 เดือน หรือ ขยายเวลาเงินกู้สูงสุด 6 เดือน
- Short term loan (Working Capital & Trade Finance): ขยายเวลาชำระหนี้สูงสุดไม่เกิน 3 เดือน
​เบอร์ติดต่อสอบถาม 1770


​ธ.ทหารไทย
​ลูกหนี้รายย่อย

สินเชื่อบ้าน: พักชำระหนี้ (เงินต้นและดอกเบี้ย) ได้สูงสุดไม่เกิน 3 เดือน และเมื่อครบกำหนดให้กลับมาชำระหนี้ตามปกติ
สินเชื่อบัตรเครดิต: ยกเว้นการชำระยอดการใช้จ่ายบัตรเครดิต เป็นเวลา 3 รอบบัญชี นับจากวันที่ลูกค้าโทรติดต่อเข้ามาแจ้งความประสงค์ โดยลูกค้าสามารถเริ่มชำระยอดใช้จ่ายบัตรเครดิต ตั้งแต่รอบบัญชีที่ 4 เป็นต้นไป
สินเชื่อบุคคล:
- พักชำระหนี้ (เงินต้น ดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียม (ถ้ามี)) ได้สูงสุดไม่เกิน 3 เดือน และเมื่อครบกำหนดให้กลับมาชำระหนี้ตามปกติ
- ขยายระยะเวลาการชำระคืนเงินกู้เพิ่มขึ้นอีก 3 เดือน หรือ จนกว่าจะชำระคืนเงินต้น พร้อมดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม (ถ้ามี) ครบถ้วน
บัตรกดเงินสด: ยกเว้นการชำระคืนเงินต้น ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม (ถ้ามี) ได้สูงสุดไม่เกิน 3 รอบบัญชี ตั้งแต่รอบบัญชีที่ 4 ลูกค้ากลับมาชำระหนี้ตามปกติ
ลูกหนี้ธุรกิจ

พักชำระหนี้เงินต้นระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 6 เดือน (6-month grace period) และขยายเวลาชำระหนี้ออกไปอีก 6 เดือน
วงเงินกู้เบิกเกินบัญชี (O/D) ลดอัตราดอกเบี้ยลง 1.50% จากสัญญาสินเชื่อปัจจุบัน เป็นระยะเวลา 3 เดือน
ช่องทางการขอเข้าร่วมโครงการ:ธนาคาร ทีเอ็มบี ทุกสาขา หรือ TMB Contact Center 1558

ธ.เกียรตินาคิน​
​ลูกหนี้ธุรกิจ  (ธุรกิจอพาร์ตเมนต์โรงแรม)

พักชำระหนี้เงินต้น และ/หรือ ลดดอกเบี้ย สูงสุด 18 เดือน 
ลูกหนี้รายย่อย

พักชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 6 เดือน
ส่วนลดดอกเบี้ย ขยายระยะเวลาชำระหนี้ 
เบอร์ติดต่อสอบถาม
0 2165 5555


ธ.สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย)
​แนวทางการให้ความช่วยเหลือจะถูกพิจารณาเป็นรายกรณี

​โทร. : 0 2724 4000

ธ.ไอซีบีซี (ไทย)​
ผ่อนปรนการชำระหนี้เงินต้นชั่วคราวเป็นระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 12 เดือน ทั้งลูกค้าธุรกิจและลูกค้าบุคคลธรรมดา*
เพิ่มวงเงินสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือการดำเนินธุรกิจของลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ*
ผ่อนปรนอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำสำหรับลูกค้าบัตรเครดิตที่ได้รับผลกระทบ*
หมายเหตุ *ธนาคารจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือลูกค้าปัจจุบันของธนาคารเป็นรายกรณี  

โทร. : ​0 2629 5588

ธ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์​
​ลูกหนี้ธุรกิจ 

ผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระ เช่น ปลอดเงินต้นสูงสุด 12 เดือน และ ขยายระยะเวลาเงินกู้ เพื่อให้ภาระการผ่อนชำระลดลงหลังหมดช่วงปลอดเงินต้น
สนับสนุนสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนเพิ่ม
ช่วยเหลืออื่นๆ ตามที่เห็นสมควรโดยพิจารณาเป็นรายๆ ไป
 
โทร. : 0 2359 0000
หรือ 1327


ธ.ไทยเครดิตเพื่อรายย่อย
ลูกหนี้ SMEs ทั้งบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล
พักชำระหนี้เงินต้น (Grace Period) สูงสุดไม่เกิน 24 เดือน
ปรับลดจำนวนเงินการผ่อนชำระค่างวด และขยายระยะเวลาเงินกู้ออกไปสูงสุดไม่เกิน 24 เดือน
 
 
​โทร. : 0 2697 5300
หมายเหตุ : คุณประเสริฐ สุขคำ ต่อ 1946 /
คุณทัศนียา สุริยะกมล ต่อ 1956 /
คุณสุดใจ ผดุงทรัพย์ ต่อ 1945 /
คุณจริญญา เกษมจินดา ต่อ 1917


ธ.ออมสิน
โครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19) 

ให้สินเชื่อเพิ่มวงเงินสูงสุด 50,000 บาท ผ่อนชำระคืนสูงสุด 5 ปี และปลอดชำระหนี้ 6 งวดแรก แก่ผู้ประกอบการ ผู้มีอาชีพอิสระ พนักงานลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งทางตรงและทางอ้อม ยื่นคำขอได้ภายใน 30 กันยายน 2563
ลดดอกเบี้ยให้สูงสุด 20% ของดอกเบี้ยจ่าย ระยะเวลา 1 ปี พักเงินต้นไม่เกิน 2 ปี และขยายเวลาชำระหนี้ ยื่นคำขอได้ภายใน 31 ธันวาคม 2563

โทร. 1115​



ธ.เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
​ลูกค้ารายย่อย

เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบภัยแล้ง ขยายเวลาชำระหนี้เดิมออกไป 2 ปี ตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 - 31 ธันวาคม 2564
โครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรสำหรับเกษตรกรผู้ประสบภัยแล้ง
ปี 2563 วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท เกษตรกรผู้ประสบภัยแล้งสามารถกู้
เพื่อลงทุนได้รายละไม่เกิน 200,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก 0%
ส่วนปีที่ 3 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ย MRR-2% (ปัจจุบัน MRR= 6.875%)
กำหนดชำระคืนไม่เกิน 10 ปี สนับสนุนสินเชื่อตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 ธันวาคม 2563

โทร. 0 2555 0555




ธ.อาคารสงเคราะห์ (ธอส.)
​ลูกค้ารายย่อย

ลูกค้าปัจจุบันที่กู้และจดจำนองก่อนวันเริ่มมาตรการนี้ และได้รับผลกระทบด้านรายได้จากโรคระบาดไวรัสโคโรนา
ปรับลดดอกเบี้ยและเงินงวดผ่อนชำระไม่เกิน 6 เดือน
ยื่นคำขอไม่เกิน 31 มีนาคม 2563

​โทร ​0 2645 9000 กด 9

ธ.เพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.)
มาตรการลดภาระผู้ส่งออกไทย สู้ภัยไวรัสโคโรนา

ด้านสินเชื่อ
พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยสูงสุด 6 เดือน รวมทั้งขยายระยะเวลาให้ต่ออายุตั๋วสัญญาใช้เงิน (รวมอายุตั๋วเดิมไม่เกิน 360 วัน)
ขยายระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดได้สูงสุด 5 ปี สำหรับลูกค้าที่มีการค้ำประกันสินเชื่อโดย บสย. PGS ระยะที่ 5-7 โดยไม่คิดค่าธรรมเนียม
ระยะเวลาให้บริการ 4 กุมภาพันธ์ - 31 ธันวาคม 2563
ด้านรับประกันการส่งออก
ขยายเทอมการชำระเงินที่ให้ความคุ้มครองสำหรับลูกค้าประกันการส่งออก ที่มีการส่งออกไปยังผู้ซื้อในประเทศจีน โดยไม่คิดค่าเบี้ยประกันเพิ่ม กรณีขยายเทอมไม่เกิน 180 วัน (หากขยายเกิน 180 วันแต่ไม่เกิน 270 วัน จะเรียกเก็บเบี้ยประกันเพียง 50%)
เพิ่มความคุ้มครองให้กับการส่งออกสินค้าเน่าเสียง่ายในกรณีที่ผู้ซื้อในประเทศจีนไม่รับมอบสินค้าเป็นกรณีพิเศษ ในอัตรา 50% ของมูลค่าใบกำกับสินค้า ทั้งนี้ต้องไม่เกินวงเงินรับประกัน
ลดระยะเวลาการพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทน
ระยะเวลาให้บริการ 4 กุมภาพันธ์ - 31 กรกฎาคม 2563
มาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

ด้านสินเชื่อ
วงเงินกู้ระยะยาวเพื่อซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ หรือเพื่อต่อเติมปรับปรุงโรงงาน วงเงินสูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อราย ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 7 ปี หลักประกันขั้นต่ำ 40% สำหรับกลุ่มลูกค้า SMEs ใช้ บสย. ค้ำประกันได้ (โครงการ PGS 8) อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก 2.00% ระยะเวลาให้บริการ 31 มกราคม - 31 ธันวาคม 2563

​โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4



​ธ.พัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.)
มาตรการด่วนช่วยเหลือ SMEs ไทยจากผลกระทบไวรัสโคโรนา
พักชำระหนี้เงินต้น สำหรับลูกค้าบัญชีประเภทเงินกู้ระยะยาว นานสูงสุด 12 เดือน
ขยายเวลาชำระหนี้ โดยขยายเวลาให้สอดคล้องกับธุรกิจได้ และสำหรับลูกค้า
ที่ใช้ บสย. ค้ำประกันสินเชื่อเดิมสามารถขยายระยะเวลาค้ำประกันออกไปได้อีก 5 ปี
โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม
เติมทุนสินเชื่อดอกเบี้ยถูกนิติบุคคล 3% ต่อปี ใน 3 ปีแรก บุคคลธรรมดา 5% ต่อปีใน 3 ปีแรก
โทร. : 1357


​ธ.อิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.)
ลูกค้าสินเชื่อบุคคลและสินเชื่อเพื่อธุรกิจ 
โดยเฉพาะภาคธุรกิจการท่องเที่ยวรวมไปถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม
พักชำระหนี้เงินต้นและชำระเฉพาะกำไรนานสูงสุด 12 เดือน (ทั้งนี้ ไม่เกินเดือนธันวาคม 2563)
ยื่นคำขอไม่เกินวันที่ 30 เมษายน 2563 ณ สาขาของธนาคารทั่วประเทศ
โทร. : 1302


บริษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
มาตรการพักการชำระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อเป็นระยะเวลา 12 เดือน
สำหรับลูกค้า SMEs เดิม ของ บสย. ในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา
ได้แก่ ธุรกิจบริการท่องเที่ยว ร้านอาหาร โรงแรมที่พัก หรือธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
และเป็นลูกค้า บสย. ที่ถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อ ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 กรกฎาคม 2563
มาตรการ "ต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย" ช่วยเหลือ SMEs ที่มีปัญหาขาดสภาพคล่อง โดยสถาบันการเงินได้ปรับปรุงเงื่อนไขการผ่อนชำระหนี้ และมีการเติมทุนสร้างสภาพคล่อง สามารถใช้โครงการ “บสย. SMEs สร้างไทย” ได้ทันที รับคำขอค้ำประกันจนถึง 31 ธันวาคม 2563
มาตรการช่วยเหลือเร่งด่วนจากเหตุการณ์โคราช ฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อธุรกิจ 2 ปีแรก
สำหรับ SMEs ที่ได้รับการผ่อนปรนการชำระหนี้กับธนาคาร และต้องการเพิ่มเงินทุนหมุนเวียน ขยายสภาพคล่อง

โทร. : 0 2890 9999


www.bot.or.th/

อ่านเพิ่มเติม...

มีการประเมินกันว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วง คือการพัฒนาโครงการจำนวนมากกว่ากำลังซื้อที่เกิดขึ้น ผนวกกับภาวะเศรษฐกิจรอบโลกที่อยู่ในภาวะชะลอตัว รวมถึงการเกิดโรคระบาดไวรัสโคโรนาจนเป็นเหตุให้กลุ่มลูกค้าชาวจีนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายต้องหยุดชะงักการเดินทางมาไทย และอีกหลายปัจจัย สุ่มเสี่ยงการเกิดฟองสบู่ โดยเฉพาะกลุ่มตลาดคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ ที่มีการพัฒนาโครงการจำนวนมาก บางเส้นทางอย่างสายสีเขียว ปริมาณความต้องการยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องทั้งกลุ่มที่อยู่อาศัยเองและกลุ่มเก็งกำไรเพื่อปล่อยเช่า หรืออย่างสายสีม่วง ที่ปริมาณหน่วยคอนโดมิเนียมมีจำนวนมากกว่าความต้องการ จึงมีจำนวนหน่วยเหลือขายมากกว่าทำเลอื่น อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าตลาดแนวราบอย่าง ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว ยังเติบโตได้ดี



ทั้งนี้จากศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหา ริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA ยังได้สำรวจถึงอสังหาริมทรัพย์กลุ่มอื่นที่คาดว่ายังคงมีอัตราการเติบโตอยู่ โดยสถานการณ์การเปิดตัวที่อยู่อาศัย ประเภทต่างๆพบว่าบ้านเดี่ยว จำนวนหน่วยขายเปิดใหม่ ช่วงครึ่งหลังของปี 2562 มีจำนวน 5,724 หน่วย เพิ่ม 1,220 หน่วย (27.1%) จากครึ่งแรกของปี 2562 มีซัพพลายเหลือขาย 34,537 หน่วย ลดลง 895 หน่วย (-2.5%) เป็นต้น ขณะห้องชุด จำนวนหน่วยขายเปิดใหม่ ครึ่งหลังของปีที่ผ่านมา จำนวน 33,650 หน่วย เพิ่มขึ้น 7,324 หน่วย (27.8%) จากครึ่งแรกของปี 2562 ซัพพลายเหลือขาย 88,788 หน่วย เพิ่ม 6,970 หน่วย (8.5%)เป็นต้น



อย่างไรก็ตาม ปีนี้ยังคาดว่าอสังหาริมทรัพย์ยังคงเติบโตต่อเนื่องแต่จะไม่หวือหวา เพราะการเปิดโครงการเพิ่มเหล่านี้เกิดจากมาตรการกระตุ้นของทางราชการ ไม่ใช่เป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจดี จึงมีคนซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่ม นอกจากนี้การที่ภาวะดอกเบี้ยเงินฝากต่ำมาก ทำให้นักลงทุนพยายามซื้อกลุ่มที่อยู่อาศัยไว้เก็งกำไรเป็นจำนวนมาก จึงกลายเป็นอุปทาน “เทียม” จำนวนหนึ่ง ซึ่งคาดว่าทั้งตลาดมีผู้ซื้อเพื่อ
อยู่อาศัยจริงประมาณ 60% นอกนั้นเป็นนักลงทุน นักเก็งกำไรทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ


อีกทั้งการพัฒนาที่อยู่อาศัยใหม่ๆมักเป็นกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 70% หรือมากกว่า 2 ใน 3 ของตลาดรวม ส่วนผู้ประกอบการที่อยู่นอกตลาดจะพัฒนาโครงการไม่ใหญ่ เพราะรายเล็กไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนทางการเงินโดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า ซึ่งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถออกหุ้นกู้มาเป็นแหล่งเงินทุนจึงมีต้นทุนที่ตํ่ากว่า



ส่วนราคาขายที่อยู่อาศัย ประเมินว่าปีนี้เฉลี่ยไม่เกิน 4 ล้านบาท ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท จะหาไม่ได้ในตลาด ขณะที่ปี 2562 เฉลี่ยที่ 4.0 ล้านบาท ปี 2561 อยู่ที่ 4.5 ล้านบาท ส่วนโครงการลักชัวรีราคาหน่วยละกว่า 100 ล้านบาท จะเริ่มพัฒนาน้อยลง ส่วนราคาคอนโดมิเนียมอาจมีการปรับลดราคาลงเพราะส่วนใหญ่เป็นราคาตั้งไว้สูงเกินจริง




หากพิจารณาถึงแชมป์การเปิดขายโครงการสูงที่สุด ในส่วนของบริษัทมหาชนและบริษัทในเครือรวมกัน บมจ.พฤกษา 
เรียลเอสเตท เป็นแชมป์เปิดตัวโครงการสูงสุด 34 โครงการ รวม 10,150 หน่วย รวมมูลค่า 38,174 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 3.761 ล้านบาทต่อหน่วย ครองส่วนแบ่ง 8.5% ของทั้งตลาด รองลงมาคือ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) เปิดตัว 9,276 หน่วย เฉลี่ยหน่วยละ 5.233 ล้านบาท แต่หากพิจารณาจากด้านมูลค่าเป็นหลัก จะพบว่า บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) มีมูลค่าการเปิดตัวสูงสุดถึง 48,542 ล้ านบาท อันดับที่ 3 บมจ.ศุภาลัย 5,235 หน่วย เฉลี่ยหน่วยละ 5.408 ล้านบาท และอันดับที่ 4 คือ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ 4,643 หน่วย เฉลี่ยหน่วยละ 3.891 ล้านบาท

สำหรับบริษัทนอกตลาดที่น่าสนใจก็คือ บจก.รีเจ้นท์ กรีน เพาเวอร์ที่เปิดขาย 3 โครงการในปี 2562 มี 5,249 หน่วย รวมมูลค่า 5,902 ล้านบาท หรือเฉลี่ยหน่วยละเพียง 1.124 ล้านบาท ครองส่วนแบ่งตลาด 4.4% ในแง่จำนวนหน่วย พอๆ กับ บมจ.
ศุภาลัย แต่มีมูลค่าการพัฒนาน้อยกว่า บมจ.ศุภาลัย รองลงมาเป็น บจก.ริสแลนด์ (ประเทศไทย)และ บจก.ไฮไชน์ ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีบริษัทพัฒนา ที่ดินของจีนเข้ามาในตลาดไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง





ฐานเศรษฐกิจ
อ่านเพิ่มเติม...

ประกาศล่าสุด

ขายคอนโด สุขุมวิท ปาร์ค (ซอยสุขุมวิท 10) ใกล้รถไฟฟ้า BTS นานา, BTS อโศก และ MRT สุขุมวิท • พื้นที่ใช้สอย 78.66 ตารางเมตร • ชั้น 9 • 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ •ตั้งอยู่ ซอย สุขุมวิท 10 แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร ราคาขาย 8 ล้านบาท ฟรี  ให้คำปรึกษาการขอยื่นกู้ ฟรี  บริการยื่นสินเชื่อกับธนาคาร ตั้งอยู่ :https://maps.app.goo.gl/aGnL9k99paS9toiN7 27 ซ. สุขุมวิท 10 แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110 - สิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ พื้นที่ส่วนกลาง สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ฯลฯ - 600 เมตร ห่างจาก บีทีเอส นานา - พื้นที่ส่วนกลาง: * ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชม. หลากหลายร้านค้าในบริเวณรอบๆคอนโด: - สุขุมวิทพลาซ่า ห่างจากคอนโด 480 เมตร (เดิน 6 นาที) - ศูนย์การค้าไทมส์สแควร์ – 520 เมตร (เดิน 6 นาที) - ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน (สุขุมวิท) – 610 เมตร (เดิน 7 นาที) - ท็อปส์มาร์เก็ต (โรบินสันสุขุมวิท 19) – 620 เมตร (เดิน 8 นาที) - วิลล่ามาร์เก็ต (แอมบาสซาเดอร์) – 680 เมตร (เดิน 9 นาที) โรงเรียนที่ใกล้ที่สุดในบริเวณ สุขุมวิท ปาร์ค -โรงเรียนเฮลท์แลนด์นวดแผนไทย ระยะทางประมาณ 1.1 กิโลเมตร เดินทาง (ประมาณ ขับรถ 6 นาที) - โรงเรียนนานาชาติเซนต์สตีเฟน – 1.3 กิโลเมตร (ขับรถ 7 นาที) - โรงเรียนนานาชาติท๊อฟซี่เทอร์วี่ – 1.3 กิโลเมตร (ขับรถ 4 นาที) - เทควันโด – 1.5 กิโลเมตร (ขับรถ 10 นาที) - โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย – 1.5 กิโลเมตร (ขับรถ 7 นาที) - บริเวณใกล้เคียงคอนโดมีร้านอาหาร มากมาย เช่น: - ร้านอาหารร่วมจิตต์แทรเวลลอดจ์ – 170 เมตร (เดิน 2 นาที) - บอดี้การ์ด – 480 เมตร (เดิน 6 นาที) - อีออโด – 480 เมตร (เดิน 6 นาที) - ดูเร – 480 เมตร (เดิน 6 นาที) - จางคึมซอง – 480 เมตร (เดิน 6 นาที) โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เป็นโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดซึ่งตั้งอยู่ 1.3 กิโลเมตร จากคอนโดมิเนียมจะใช้เวลาประมาณ ขับรถ 7 นาทีไปที่นั่น สอบถามพูดคุย Contact ติดต่อ.. คุณโอ (เอกรัตน์) Tel / WhatsApp : 086-949-9970 Line : kitsilanser E-mail : aekkarat.rn@remax.co.th
    กรุงเทพมหานคร , เขตคลองเตย
฿8,000,000   ขาย

ขายบ้านทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น หลังมุม เนื้อที่่16 ตรว ซอย นวมินหร์ 135 แยก 2-3 แขวงนวลจันทร์ 2ชั้น 2 นอน 2 น้ำ ต่อเติมครัว 1 โถงกลางรับแขก และต่อเติมโรงจอดรถ ที่ตั้ง : https://maps.app.goo.gl/Y8sVeFwmqP8MBE7N7 257 ซอย นวมินหร์ 135 แยก 2-3 แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร 10230 ฟรี  ให้คำปรึกษาการขอยื่นกู้ ฟรี  บริการยื่นสินเชื่อกับธนาคาร -พื้นที่ใช้สอย ประมาณ 120 ตรม..กว้างขวางมาก -บ้านห่างจากถนนใหญ่ 500 เมตร -การเดินทางสะดวก ถนนนวมินทร์ เชื่อมต่อถนนหลักหลายสาย ถนนเกษตรนวมินทร์ ถนนรามอินทรา ถนนนวลจันทร์ ถนนเสรีไทย ถนนรามคำแหง ถนนวงแหวนกาญจนาพิเษก ฯลฯ -ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู,สนามบินสุวรรณภูมิ ,สนามบินดอนเมือง -ใกล้นิคมอุตสาหกรรมบางชัน ฯลฯ -ใกล้โรงเรียนบดินทร์เดชา และอื่นๆ -ใกล้ Big C , Lotus ,MaxValue ,ไทวัสดุ ,Fashionisland,โรงพยาบาลพญาไท,โรงเรียน ฯลฯ สอบถามพูดคุย Contact ติดต่อ.. คุณโอ (เอกรัตน์) Tel / WhatsApp : 086-949-9970 Line : 0869499970 E-mail : aekkarat.rn@remax.co.th
    กรุงเทพมหานคร , เขตบึงกุ่ม
฿2,500,000   ขาย

อาคารพาณิชย์ 2 คูหา 4ชั้น ถนนงามวงศ์วาน ห่างจาก The Mall งามวงศ์วาน 300 ม. 74 ตรว. ถูก เพียง 25 ล้านบาท ฟรี  ให้คำปรึกษาการขอยื่นกู้ ฟรี  บริการยื่นสินเชื่อกับธนาคาร Location: https://maps.app.goo.gl/FdjC7TyxJ7Pmiy686 332 Ngam Wong Wan Rd, ตำบลบางเขน อำเภอเมืองนนทบุรี นนทบุรี 11000 พท ใช้สอยในอาคารโดยประมาณ เพื่อเป็นข้อมูลเท่านั้น -อาคารยาว 18 ม. -อาคาร 4 ชั้น -มีชั้นลอย -ชั้น 1 : 144 ตรม -ขั้นลอย : 65 ตรม -ชั้น 2 : 144 ตรม -ชั้น 3 : 96 ตรม -ชั้น 4 : 84 ตรม รวม พท. ใช้สอย 533 ตรม. การวัด พท ข้างต้นรวม พท บันได ห้องสุขา ห้องอาบน้ำ ชั้น 1 : ห้องสุขา 2 ห้อง ชั้นลอย : ห้องอาบน้ำ+สุขา 1 ห้อง ชั้น 3 : ห้องสุขา 2, ห้องอาบน้ำ 2 พท ใช้สอยด้านหลังอาคาร : ยาวมากกว่า 20 ม. ความกว้างติดกับอาคาร 8 ม ด้านตรงข้ามประมาณ - 6 ม. หน้าอาคารสามารถจอดรถขนาดกลางได้ 3 คัน ที่ดิน : 74ตารางวา ราคาขาย 25 ล้านบาท https://youtu.be/pHTMmfGJQGE ***** ปัจจุบัน ชั้น 1 มีผนังเบายาวตลอดแนวทั้งในอาคารและหลังอาคาร ชั้นอื่นมีผนังอิฐระหว่างตึกสองห้อง และมีประตู Contact us today for more information and to schedule a viewing. Your dream business space awaits! Kreingkrai (Ake) Tel/WhatApp/Line: 0817794608 E-mail: kreingkrai.rn@remax.co.th -------------------------------------------------------------- Prime Shophouses on Ngamwongwan Main Road Discount to 25 MB from the original price at 30 MB $$$ Looking for the perfect commercial space in Nonthaburi? Look no further! ?? Features: ? 2 Shophouses seamlessly connected ? 4 spacious storeys ? Over 500 sq.m. of prime real estate ? Generous front and back areas ? Conveniently located on Ngamwongwan Main Road ? Situated in a bustling commercial zone ? Just 300 meters from The Mall Ngamwongwan ? 3 parking spots at the front ? Potential for 5-8 additional parking spots at the back Location: https://maps.app.goo.gl/FdjC7TyxJ7Pmiy686 These shophouses offer endless possibilities for your business. Don't miss this rare opportunity in one of Nonthaburi's most sought-after locations! ?? Contact us today for more information and to schedule a viewing. Your dream business space awaits! Kreingkrai (Ake) Tel/WhatApp/Line: 0817794608 E-mail: kreingkrai.rn@remax.co.th
    นนทบุรี , เมืองนนทบุรี
฿25,000,000   ขาย

ขายบ้านเดี่ยว 2 ชั้น บ้านศรีนครพัฒนา1 นวมินทร์24 จอดรถ 3 คัน 99ตรว. 3นอน3น้ำ แต่งหรูน่าอยู่ สามารถนัดเข้าชมสถานที่จริงได้ทุกวัน ถูกใจราคาคุยกันได้ครับ ราคา 6,000,000 บาท ที่ตั้ง แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร 10240 https://goo.gl/maps/Qq8vVSy8xNzNJ7Mr5 รายละเอียดทรัพย์ - พื้นที่ 99 ตร.วา -พื้นที่ใช้สอย 250 ตรม - บ้านเดี่ยว 2 ชั้น - 3ห้องนอน - 3ห้องน้ำ 1 ห้องอาบน้ำ(มีอ่างอาบน้ำ) -1ห้องแม่บ้าน มีห้องน้ำในตัว - 1ห้องครัว ใหญ่่ - 1 ห้องรับแขกใหญ่ มีที่จอดรถได้ 3 คัน ข้อมูลเสริมบ้าน 1.มีวิวต้นไม้ 2.ใกล้ร้านมินิมาร์ท 3.ใกล้ ร้านค้าตลาดสด 4.ใกล้ธนาคาร 5.ใกล้ทางด่วน 6.ใกล้โทลเวย์ 7.ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล 8.มอเตอร์เวย์ จุดเด่นทำเลที่ตั้ง/สถานที่ใกล้เคียง :- สถานศึกษา :โรงเรียนโสมาภา , โรงเรียนบ้านบางกะปิ, โรงเรียนบ้านบางกะปิ , โรงเรียนบดินเดชา (สิงห์ สิงหเสนี 2),มหาวิทยาลัยรามคำแหง,สถาบันนิด้า, ธนาคาร : กรุงเทพ, กสิกรไทย, ไทยพาณิชย์ ห้างสรรพสินค้า : เดอะมอลล์ รามคำแหง,เดอะมอลล์ บางกะปิ, Max Value, บิ๊กซี รามคำแหง, คาร์ฟูร์ รามคำแหง, โฮมโปร รามคำแหง, บิ๊กซี ลาดพร้าว, ฟู้ดแลนด์ ลาดพร้าว, เทสโก้ โลตัส บางกะปิ, Major รามคำแหง, SF Cinema เดอะมอลล์ บางกะปิ, สถานที่ราชการ : รพ.เวชธานี , รพ.รามคำแหง, รพ.เกษมราษฎร์, สำนักงานเขตบึงกุ่ม,สำนักงานเขตบางกะปิ สามารถนัดเข้าชมสถานที่จริงได้ทุกวัน ถูกใจราคาคุยกันได้ครับ ราคา 6,000,000 บาท สอบถามพูดคุย Contact ติดต่อ.. คุณโอ (เอกรัตน์) Tel / WhatsApp : 086-949-9970 Line : kitsilanser E-mail : aekkarat@remax.co.th
    กรุงเทพมหานคร , เขตบึงกุ่ม
฿6,000,000   ขาย